วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หน้าหลัก


จัดทำโดย

นางสาว  ณิชาภัทร  นวไพบูลย์

มัธยมศึกษาปีที่ 6/2 เลขที่ 12

เสนอ

อาจารย์  ศุภสัณห์  แก้วสำราญ

ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557

โรงเรียนเมืองกระบี่

คำนำ

       

คำนำ


       รายงานเล่มนี้่้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการสืบค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต  

กลุ่มสาระการเรียนรู้ เทคโนโลยีสารสนเทศชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นเนื้อเกี่ยวกับ

เป็นเนื้อเกี่ยวกับทางวิชาการในเรื่อง การเกิดดวงอาทิตย์รายงานเล่มนี้เน้นการสร้าง

ความรู้และคำอธิบายเกี่ยวกับการเกิดดวงอาทิตย์ รายงานเล่มนี้จัดทำเพื่อให้สอดคล้อง

กับหลักสูตรการสอนภายในโรงเรียนตามความเหมาะสม
                  
       หวังว่ารายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการหาความรู้ไดอย่างมีประสิทธิภาพ 

เป็นไปตามหลักการและจุดมุ่งหมาย ขอขอบคุณเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลในการทำรายงาน

เล่มนี้ให้สำเร็จลุล่วงด้วยดีไว้  โอกาสนี้


การเกิดดวงอาทิตย์

 การเกิดดวงอาทิตย์

      
     เอกภพ นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า 13,000 - 14.00 ล้านปีมาแล้ว เมื่ออุณหภูมิของเอกภพลดลงเอกภพจะมีขนาดโตขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นแกแล็คซี่แกแล็คซี่ที่เราอยู่เรียกว่าแกแล็คซี่ทางช้างเผือก รวมทั้งดาวเคราะห์หลุมดำที่เรามองไม่เห็นและเมฆฝุ่นกับก๊าซที่เรียกว่าเนบิลล่า (เนบิวลา) มีดาวเคราะห์เป็นบริวาร 8 ดวงเรียงตามลำดับจากในสุดคือดาวพุธ (Mercury) ดาวศุกร์ (Venus) โลก (โลก) ดาวอังคาร (Mars) ดาวพฤหัส (Jupiter) ดาวเสาร์ (Saturn) ดาวยูเรนัส (Urenus) และดาวเนปจูน (ดาวเนปจูน)
     
     และรังสีแกมม่า ดวงอาทิตย์ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 5,000 ล้านปีมาแล้ว 25,000 ปีแสงดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ชั้น G2 ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1392000 กิโลเมตร 109 เท่า 3 แสนเท่ามีมวลมากกว่าโลกประมาณ 1/3 ล้านเท่า ประกอบด้วยไฮโดรเจนประมาณ 75% และ 25% ที่ 0.1% เป็นฮีเลียมประมาณเหลือจำนวนโลหะ ฟิวชั่น) หรือไฮโดรเจนบอมบ์ที่มาของพลังงานของดวงอาทิตย์

     E = MC2 15,000,000 องศาเซลเซียส ณ (เทอร์โมนิวเคลียร์) ในทุกๆ 1 วินาทีดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนไฮโดรเจน 700 ล้านตันให้กลายเป็นฮีเลียม 695 ล้านตัน ดวงอาทิตย์มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนแกนหรือคอร์ (แกน) โซน) โซน) มีการเคลื่อนที่ถ่ายเทพลังงานให้กันและกัน 

     ได้แก่ โฟโตสเฟียร์ (photosphere) โครโมสเฟียร์ (Chromosphere) และโคโรนา (Corona) ดวงอาทิตย์มีลักษณะปรากฏเป็นแสงเรืองมีรัศมีสีนวลสุกสกาวในขณะที่เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง 1,500,000 - 2,500,000 องศาเคลวิน (ลมแสงอาทิตย์) 300-1,000 กิโลเมตรต่อวินาที แสงใต้อันงดงามที่บริเวณขั้วโลก

     จุดดำบนดวงอาทิตย์ (ใต้จุดดวงอาทิตย์) โฟโตสเฟียร์ (photosphere) บางจุดมีอุณหภูมิสูงถึง 3,800 เคลวิน โฟโตสเฟียร์ แต่จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงทุกรอบ 11 ปีซึ่งรู้จักกันในชื่อของวัฏจักรสุริยะ (Solar วงจร)

     Flare พลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งให้พลังงานสูงมาก 100 เมกะตันจำนวน 1 ล้านลูกรวมกัน อุณหภูมิของเปลวไฟพลังงานแสงอาทิตย์จะสูงถึงหลายล้านเคลวิน พายุ) เลยทีเดียว เวียนมวลปลดหรือ CME ซึ่งช้ากว่าความเร็วแสงมาก 

     จะค่อยๆลอยสูงขึ้น มวลสารพวกนี้คือพลาสมา จนเกิดปรากฏการณ์แสงเหนือแสงใต้ที่เรียกกันว่าออโรร่า (Aurora) บนโลกแถบขั้วโลกเหนือและใต้ CME

     ดำเนินมาแล้วเป็นเวลา 5,000 ล้านปี แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังมีเวลาเหลืออีก 5,000 นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าในอีก 5,000 ล้านปีดวงอาทิตย์จะจบชีวิตลง 1.5 เท่าของโลก

     แสงจากดวงอาทิตย์จึงเป็นดั่งชีวิต เพราะยิ่งค้นพบมากเท่าไหร่ ยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นทั้งการใช้พลังงานจากพืชพลังงานน้ำและพลังงานลม โดยเฉพาะของประเทศไทยเรา

โครงสร้างของดวงอาทิตย์


โครงสร้างของดวงอาทิตย์


       องค์ประกอบและกลไกของดวงอาทิตย์ 
ไส้แกนกลางภายใน (แกนพลังงานแสงอาทิตย์)
เป็นส่วนที่อยู่ใจกลางมีพื้นที่ 1.6% ของทั้งหมดเป็นแหล่งที่สร้างพลังงาน
ชั้นแผ่รังสี (รังสีโซน)
ถัดออกมาจากส่วนใจกลางมีพื้นที่ 71.3% ของทั้งหมดนําพลังแผ่กระจายสู่ด้านบน
ชั้นพาพลังงานความร้อน (พาโซน)
บริเวณเหนือขึ้นมาบนส่วนชั้นแผ่รังสี (การแผ่รังสีโซน) มีพื้นที่ 27.1% ของทั้งหมดเป็นชั้นที่มีมวลสสาร
นําพลังงานจากชั้นแผ่รังสีขึ้นมา
โฟโตสเฟียร์ (photosphere)
โดยทั้ง 3 ส่วนที่กล่าวข้างต้นอยู่ใต้พื้นผิวของโฟโตสเฟียร์ (photosphere) มีกลไกทํางานสัมพันธ์กันคือ
พลังงานทั้งหมดเกิดจากปฏิกิริยาของจุดศูนย์กลาง (ปฏิกิริยานิวเคลียร์) บริเวณไส้แกนกลางภายใน
(แกนพลังงานแสงอาทิตย์) ด้วยหลอมละลายไฮโดรเจน (Hydrogen) สู่ฮ​​ีเลียม (Helium) มีความหนาแน่นและกดดันสูง
148,000 กก. / ตรม แล้วขยายตัวออกมาโดยรอบจากแกนกลางเข้าสู่บริเวณชั้นแผ่รังสี (รังสี
โซน) กลับไปกลับมาเช่นนี้โดยแต่ละ
ครั้ง เดินทางผ่านชั้นแผ่รังสี (รังสีโซน) ออกสู่
ชั้นพาพลังงานความร้อน (พาโซน) ใช้เวลาเฉลี่ย 170,000 ปี
สําหรับชั้นพาพลังงานความร้อน (พาโซน) เป็นส่วนด้านบนสุดเป็นบริเวณที่เกิดพลาสมาร้อน
(พลาสม่าน่าสนใจ) เห็นพื้นผิวเป็นลักษณะ
ฟองเดือดปุด ๆ เรียกว่าฟองสุริยะ (เม็ด)
ดังนั้นในชั้นโฟโตสเฟียร์ (photosphere) เป็นส่วนของแสงที่ถูกปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์มีโดยทั่วไป
เช่นเดียวกับดาวอื่น ๆ ทุกดวง (รังสีที่มองเห็น) พลังงานดวง
อาทิตย์จึงหลุดรอดสู่อวกาศจากโฟโตสเฟียร์ (photosphere) เป็นส่วนมาก
โครโมสเฟียร์ (Chromosphere)
ภาษาลาตินแปลว่าขอบเขตของสีเป็นแบ่งชั้นบรรยากาศอยู่ตรงกลางระหว่างโคโรน่า (Corona) อยู่ด้าน
บนและโฟโตสเฟียร์ (photosphere) อยู่ด้านล่างมีอุณหภูมิระหว่าง 10,000 - 20,000 เคลวินสามารถ
มองเห็นได้ง่ายด้วยตาเปล่าขณะที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและตกบริเวณริมขอบเป็นสีชมพูแดงเรื่อ ๆ

การลุกจ้า (พลุ)
เป็นพฤติกรรมสามัญของดวงอาทิตย์ โดยเกิดขึ้นอย่างทันที่
ทันใด ทุกๆวินาทีเกิดแสงอย่างน้อย 1,000 ครั้ง
ด้วยพลังงานจากการลุกจ้าและเกิดทั่วไปมีอุณหภูมิสูงมากถึง 10 ล้านเคลวินสามารถปล่อยรังสีเอ็กซ์เรย์
กลุ่มใหญ่ราว 0.1 นาโนเมตร. ออกมาด้วย
วงเปลวสุริยะ (prominences วน)
เปลวไฟขนาดยักษ์เหมือนโหนกยื่นออกมา หรือดูคล้ายหางม้าคือบริเวณที่มีความสัมพันธ์ระหว่างความ
เย็นตัวลงและความหนาแน่นของพลาสมา (Plasma) ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้โฟโตสเฟียร์ (photosphere)
ด้วยการไหลเวียนถ่ายเทพลังงานกันจากปฎิกิริยาของสนามแม่เหล็กมี 2 ประเภทคือ
รุ่งเรืองสงบ สามารถคงสภาพได้
เป็นสัปดาห์หรือนับเดือนมีความสูง 100,000-600,000 กม ความกว้างราว 5,000-10,000 กม
ใช้งานล่าสุดรุ่งเรืองอายุจะเกิดในบริเวณจุดบนดวงอาทิตย์ (ดวงอาทิตย์) สั้นกว่าแบบแรกมีการเคลื่อนตัว
และบริเวณการลุกจ้า (พลุ) เป็นลักษณะการเกิดร่วมปะปนกันบางครั้งมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระลอก
คลื่นและบางครั้งพ่นเป็นละอองหรือขมวดตัวก็มีปรากฎให้เห็น
ฟองสุริยะ (เม็ด)
เม็ดหรือ เหมือนรวงผึ้ง
(รูปแบบเซลลูล่าร์) ซึ่งเกิดบริเวณโฟโตสเฟียร์ (photosphere) เป็นการเดือดของพลาสมาร้อน (น่าสนใจ
พลาสม่า) จากภายในชั้นพาพลังงานความร้อน (พาโซน)
หนามสุริยะ (spicules)
คล้ายเส้นผมแหลมๆโผล่ขึ้นกระตุ้นของพลังงานไฟฟ้าสามารถคงสถานะไว้ในรูปแบบที่มาเกิดจากการ
ความสูงอาจถึง 90,000 กม และอาจมีเสันผ่าศูนย์กลางราว
500 กม. ได้

จุดบนดวงอาทิตย์ (ใต้จุดดวงอาทิตย์)
เป็นการเกิดความเข้มข้นของสนามแม่เหล็ก ในลักษณะชั่วคราว สามารถเห็นเป็นจุดแสงสีขาวบริเวณชั้น
โฟโตสเฟียร์ (photosphere) มีค่าของสนามแม่เหล็กระหว่าง 2,000-4,000 เกาส์ความเป็นจริงใจกลาง
จุดบนดวงอาทิตย์ (ดวงอาทิตย์) เป็นจุดดํามืดและเทามีอุณหภูมิราว 4,000 เคลวินเหตุที่มีสีดําเพราะเกิด
การเปลี่ยนแปลงของวัตถุดิบและเย็นตัวกว่าในบริเวณอื่นขนาดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 1,000 ตร.กม. จนขนาด
ใหญ่นับแสน ตร.กม.
การปรากฎของจุดบนดวงอาทิตย์ (ดวงอาทิตย์) สามารถจัดประเภทของกลุ่มจุดบนดวงอาทิตย์เรียกว่า
การจัดหมวดหมู่กลุ่มจุดบอดบนดวงอาทิตย์โดยมีรูปแบบและเกณฑ์ที่ต่างกัน
โคโรน่า (Corona)
ภาษาลาตินแปลว่ามงกุฎเป็นเขตชั้นนอกสุด (นอกสุด) ของชั้นบรรยากาศดวงอาทิตย์ซึ่งอยู่เหนือ
โครโมสเฟียร์ (Chromosphere) ซึ่งเป็นก๊าซสีแดงโดยจะเห็นโคโรน่า (Corona) เป็นรัศมีแสงสีขาวเลือน
พร่า (สีขาวรัศมี) รอบ ๆ ดวงอาทิตย์
ความสําคัญของดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานเดียวในระบบสุริยะใหญ่ที่สุดใกล้ตัวเรามากที่สุดหากจินตนาการว่าว่าตื่น
ขึ้นมาตอนเช้า ?
แน่นอนที่สุดสภาพโลกมืดสนิทดวงจันทร์ก็มืดไปด้วยอากาศหนาวเย็นอุณหภูมิลดลดติดลบพืชล้มตาย
เนื่องขาดระบบการสังเคราะห์แสงระบบนิเวศล้มเหลวลงอย่างสิ้นเชิงฤดูกาลหายไปหมดสภาพอากาศ
แปรปรวน ทุกอย่างบนโลกลอยสู่อวกาศอย่างไร้จุด
หมายควบคุมไม่ได้
ดาวเคราะห์ต่างๆในระบบสุริยะโคจรชนกันอย่างโกลาหล ดาวเคราะห์บางส่วนตกอยู่ใต้อํานาจแรงดึงดูด
ของดาวพฤหัส (Jupiter) เพียงเป็นเรื่องสมมุติจุดประสงค์
ให้เห็นความเชื่อมญของแยกไม่ได้ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์และทุกสิ่งที่โยงที่สําคัระบบที่เกี่ยวข้องกัน
อยู่ในทั้งระบบสุริยะ
หมายความว่าพลังงานจากดวงอาทิตย์เป็นพลังงานดั่งเดิมในระบบจักรวาลได้จัดการไว้ให้ทุกชีวิตได้ใช้
อย่างเท่าเทียมทั่วถึง ซึ่งนํามาใช้ประโยชน์ที่ประสงค์โดย
ไม่เคยทวงถามข้อแลกเปลี่ยนใด ๆ

การสังเกตุดวงอาทิตย์


การสังเกตดวงอาทิตย์

          เนื่องจากดวงอาทิตย์มีความสว่างมาก หากใช้กล้องโทรทัศน์รวมแสงให้มากขึ้น 

ความสว่างของแสงที่เข้าสู่ดวงตาจะเพิ่มมากขึ้นหลายร้อยเท่า การสังเกตดวงอาทิตย์ผ่าน

กล้องโทรทัศน์ใดๆ ที่ไม่ได้ติดแผ่นกรองแสงที่เหมาะสมจะทำให้เรตินา หรือ ฉากรับภาพ

ภายในดวงตาถูกทำลายทันทีและทำให้ตาบอดโดยถาวรการสังเกตดวงอาทิตย์จึงต้อง

ใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ผู้สังเกตควรทำความเข้าใจวิธีการให้ถี่ถ้วน และปรึกษา

ผู้เชี่ยวชาญหากมีข้อสงสัย

           การสังเกตดวงอาทิตย์อย่างเป็นระบบและเป็นวิทยาศาสตร์ เริ่มต้นโดยกาลิเลโอ
 
กาลิเลอีในปีค.ศ. 1610 กาลิเลโอได้ใช้กล้องโทรทัศน์ที่เข้าได้ประดิษฐ์ขึ้นฉายภาพ

ดวงอาทิตย์ลงบนฉากรับภาพ และสังเกตจุดบนดวงอาทิตย์ บันทึกทางประวัติศาสตร์

บางเล่มกล่าวว่ากาลิเลโอสูญเสียการมองเห็นจากการที่เขาสังเกตดวงอาทิตย์

           ผู้ที่เคยสังเกตปรากฏการณ์สุริยุปราคาครั้งที่ผ่านประเทศไทยเมื่อเดือนตุลาคม

 พ.ศ. 2538 หรือเคยมีประสบการณ์ในการสังเกตสุริยุปราคาคงจะคุ้นเคยกับการใช้

แผ่นกรองแสงสังเกตดวงอาทิตย์บ้าง กาสังเกตดวงอาทิตย์ขณะเกิดสุริยุปราคา

จะใช้แผ่นกรองแสงเพื่อลดความเข้มของแสง และลดปริมาณความเข้มของแสง 

ลดปริมาณรังสีอัลตราไวโอเลตให้สามารถสังเกตภาพของดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ 

ถูกบังโดยดวงจันทร์ได้อย่างปลอดภัย



บทบาทของดวงอาทิตย์ที่มีต่อสิ่งมีชีวิต


บทบาทของดวงอาทิตย์ต่อสิ่งมีชีวิต


     นับตั้งแต่ปฏิกิริยาอุณหนิวเคลียร์ (thermonuclear reaction) ในใจกลางดวงอาทิตย์ 

แผ่พลังงานออกมาในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและพลังงานที่สะสมภายในอนุภาค 

ใช้เวลาเดินทางนับหมื่นนับแสนปีจนกระทั่งถึงผิวดวงอาทิตย์ และต่อด้วยการเดินทาง

 8 นาทีมายังโลกของเรา ในรูปของแสงที่มองเห็น รังสีแกมมา รังสีเอกซ์ และรังสีอื่น ๆ 

ต้องขอบคุณชั้นบรรยากาศโลกที่ได้กรองเอาสิ่งที่เป็นอันตรายเหล่านี้ออกไป ไม่นานนัก

พลังงานก็ถึงยังพื้นโลก ทั้งให้ความอบอุ่นน่าอยู่ในเขตหนาว หรือแม้แต่ให้ความรู้สึกรำคาญ

ในเขตร้อน ทว่าพลังงานจากดวงอาทิตย์ก็ได้ถูกดูดซับเข้าไปในพืชและโพรทิสต์ 

ากนั้นพืชก็สามารถตรึงเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากอากาศได้เป็นน้ำตาล 

ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง น้ำตาลที่ได้นั้นพืชก็จะนำไปแปรรูปเป็นทั้ง

ผนังเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ ออแกเนลล์ภายในเซลล์ ฯลฯ นอกเหนือจากธาตุอาหาร

ที่ดูดขึ้นมาจากดิน



     เมื่อพืชเป็นผู้ผลิต (ที่แท้จริงคือผู้แปรรูป) อาหารจากพลังงานแสงอาทิตย์ 

ก็ทำให้สัตว์มีอาหารจากส่วนต่าง ๆ ของพืช ในการสลายอาหารของสัตว์

 สิ่งสำคัญที่สุดนอกจากอาหารที่ได้รับแล้วก็คือออกซิเจน ซึ่งเป็นของเสีย

ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง เพื่อไปรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้ายในกระบวนการ

สลายสารอาหารระดับเซลล์ ขณะเดียวกันสัตว์ก็หายใจเอาแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์

ซึ่งเป็นสารพลังงานต่ำออกมา เพื่อที่พืชจะได้ตรึงอีกครั้งเป็นวัฏจักร

  
   อิทธิพลของดวงอาทิตย์ต่อโลก ดวงอาทิตย์เป็นกลุมก้อนก๊าซมีอุณหภูมิสูงมาก

โดยที่พื้นผิวของดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิสูงถึง 6,000 C ถึง- 20,000,000 C 

บริเวณใจกลางดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิสูงถึง16,000,000 C จึงนับได้ว่าดวงอาทิตย์ 

เป็นแหล่งพลังงานที่ยิ่งใหญ่โลกอยู่ใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์พลังงาน

เกือบทั้งหมดบนโลก จะได้มาจากดวงอาทิตย์ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ดวงอาทิตย์

เป็นกลุ่มก้อนก๊าซที่มีอุณหภูมิสูงมากมีลักษณะเป็นทรงกลม ส่งพลังงานและอนุภาคต่าง ๆ

ออกไปรอบตัวโดยการ แผ่รังสีตลอดเวลา จัดเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดในระบบสุริยะ

 ผลจากการศึกษา ซากของสิ่งมีชีวิตหรือที่เรียกว่า ฟอสซิล(fossil)



     พบว่าดวงอาทิตย์ได้แผ่รังสีมายังโลกเป็นเวลานาน ประมาณหนึ่งพันล้านปีมาแล้ว

สิ่งมีชีวิตบนโลกพวกพืชและสัตว์เป็นผู้นำพลังงานจากดวงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์

และยังมีพลังงานในรูปของลมและคลื่นรวมกันแล้ว

พลังงานที่โลกได้รับจากดวงอาทิตย์มี 2 ประเภทคือ 

  1. พลังงานที่มีผลต่อโลกทันทีเป็นพวกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เมื่อผ่านบรรยากาศของโลก

ลงมาจะเกิดผลทันทีประกอบด้วยพลังงาน ความร้อนและแสงสว่างเป็นส่วนใหญ่รวมทั้ง

คลื่นวิทยุ มีรังสีอัลตราไวโอเลต เพียงเล็กน้อยที่ผ่านบรรยากาศลงมาได้ เพราะส่วนใหญ่

จะถูกดูดกลืนโดย โอโซนในบรรยากาศ

  2. พลังงานที่มีผลต่อโลกภายหลังเป็นพวกอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าต่าง ๆ จากดวงอาทิตย์

ซึ่งไม่สามารถผ่านชั้นบรรยากาศมาถึง ผิวโลกได้ ได้แก่ อนุภาครังสีคอสมิคซึ่งเป็นอนุภาค

โปรตอนและลมสุริยะซึ่งเป็น อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าบวกที่มีความเร็วต่ำและอิเล็คตรอน

 อนุภาคเหล่านี้จะเดินทางมาถึงโลกหลังจากเกิด การลุกจ้าบนดวงอาทิตย์แล้วประมาณ 

20-40 ชั่วโมง จะไปรบกวนสนามแม่เหล็กโลกทำให้เกิดพายุแม่เหล็กซึ่งมีผลต่อระบบ

สื่อสารทางวิทยุบนโลกเท่านั้น จึงนับได้ว่าดวงอาทิตย์ เป็นแหล่งพลังงานที่ยิ่งใหญ่

โลกอยู่ใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์พลังงานเกือบทั้งหมดบนโลก 

จะได้มาจากดวงอาทิตย์ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ดวงอาทิตย์เป็นกลุ่มก้อนก๊าซที่มีอุณหภูมิ

สูงมากมีลักษณะเป็นทรงกลม ส่งพลังงานและอนุภาคต่าง ๆ ออกไปรอบตัวโดยการ

แผ่รังสีตลอดเวลา จัดเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดในระบบสุริยะ ผลจากการศึกษา

ซากของสิ่งมีชีวิตหรือที่เรียกว่า ฟอสซิล(fossil)

  
   พบว่าดวงอาทิตย์ได้แผ่รังสีมายังโลกเป็นเวลานาน ประมาณหนึ่งพันล้านปีมาแล้ว

สิ่งมีชีวิตบนโลกพวกพืชและสัตว์เป็นผู้นำพลังงานจากดวงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์ 

และยังมีพลังงานในรูปของลมและคลื่นรวมกันแล้ว




อ้างอิง





  • http://megatopic.blogspot.com/2013/07/blog-post_8739.html วันที่ 16 มิ.ย 57
  • http://www.sunflowercosmos.org/science_programs/PDF/solar_sci_02_the_solar_interior.pdf วันที่ 16 มิ.ย 57
  • https://thanapat53a25.wikispaces.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C วันที่ วันที่ 16 มิ.ย 57
  • https://thanapat53a25.wikispaces.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95 วันที่ 16 มิ.ย 57